กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)


กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)




       “นับตั้งแต่ต้นปี 2563 มีข่าวของเจ้าโคโรนาไวรัสแพร่ระบาดในมณฑลอู่ฮั่น มณฑณหูเป่ย สาธารณะรัฐประชาชนจีน ณ ตอนนั้นหลายคนยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว อาจจะยังไม่รู้จักกับไวรัสชนิดนี้มากนัก แต่อีกเพียงไม่กี่เดือนต่อมา คนไทยและคนทั่วโลกได้ยินชื่อไวรัสโคโรนามากขึ้น ใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ จำนวนผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นโดยที่ไม่มีท่าทีจะลดลง ทำให้องค์การอนามัยโลกได้ระบุชื่ออย่างเป็นทางการของโคโรนาไวรัสว่า ‘โควิด-19’ ซึ่งมาจาก “Coronavirus disease starting in 2019” นับจากนั้นเป็นต้นมาไม่มีใครที่จะไม่รู้จักไวรัสโควิด-19 และพิษสงของเจ้าไวรัสตัวนี้”



เบื้องหลังการจัดตั้ง “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)”
       วันที่ 26 มีนาคม 2563 พอได้ยินรัฐบาลประกาศ "ภาวะฉุกเฉิน" จิตใจเกิดกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พอนึก ๆ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าใช้ชีวิตก่อนมาถวายงานพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในปี 2524 นั้น ผมดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองวางแผนเตรียมพร้อม ทำแผนเตรียมพร้อมระดับชาติ ตอนช่วงปี 2512 - 2524 ระยะนั้นประเทศเข้าสู่ภาวะสงคราม การก่อการร้ายกับคอมมิวนิสต์ แต่ตอนหลังก็ผนวกภัยธรรมชาติเข้าไปด้วยเพราะการเตรียมการเหมือนกัน และแผนดังกล่าวจะนำออกมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นในประเทศ เมื่อสิ้นสุดสงครามในปี 2524 ผมก็จบงานที่กองวางแผนเตรียมพร้อมมาทำงานเป็นเลขาธิการ กปร. (คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ)



หลักการของงานวางแผนเตรียมพร้อมมี 3 ขั้นตอน คือ
       1. ระดมสรรพกำลัง อาวุธ ยุทโธปกรณ์ คน ฯลฯ
       2. จัดระเบียบระบบข้าวของทั้งหมดและพิจารณาจัดอันดับความต้องการ
       3. การแจกจ่ายปัจจัยต่าง ๆ และก่อนอะไรทั้งสิ้นต้องตั้งศูนย์บัญชาการบริหารขึ้น ในระดับประเทศก็ต้องตั้ง War Cabinet

วันที่ 2 เมษายน 2563 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้มีรับสั่งให้จัดตั้ง “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)” ขึ้น



       ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาก็เตรียมการต่าง ๆ เพื่อให้มีความพร้อมปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตรงกับปลายสัปดาห์พอดี ก็เลยเตรียมระบบบริหารไว้ก่อน โดยมีคณะปฏิบัติการ ประกอบด้วย ผมเป็นประธาน รองเลขาธิการดูแลพื้นที่ทั้งหมดเป็นกรรมการ รวมเหรัญญิก และรองเหรัญญิก ดูแลเรื่องเงิน และทรัพย์สินต่าง ๆ

       ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์มีหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องและสาธารณชน ผู้อำนวยการสารสนเทศจัดระบบ IT จัดทำ Barcode กำกับสิ่งของทั้งหมด ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศในกรณีต้องมีภารกิจติดต่อต่างประเทศ และมีผู้อำนวยการกองกลางเป็นเลขานุการคอยประสานงาน กลั่นกรองทั้งหมด เพื่อประมวลเรื่องถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์นายกกิตติมศักดิ์และองค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนาเพื่อทรงอนุมัติต่อไป

       พอองค์กรบริหารพร้อม ในวันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563 เราก็ออกสื่อให้ทราบถึงการจัดตั้งกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 เอาฤกษ์เอาชัยกันเพราะเป็นวันจักรีพอดี พอประกาศผลตอบรับจากสาธารณะก็ตอบรับกลับมาในทันทีทันใด การบริจาคเริ่มพรั่งพรูเข้ามามากมายทั้งรายใหญ่ และรายเล็ก ตลอดจนกลุ่มเด็กนักเรียนหลายโรงเรียน น่ารักมาก ทุกคนมา "ให้" เพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ทำให้นึกถึงพระราชกระแสพระเจ้าอยู่หัว ร. 9 ครั้งหนึ่งว่า "ใครเขาว่าไทยจะล้มตามกฎ Domino แต่ทุกอย่างมาหยุดที่เมืองไทย เรารอดมาเพราะอะไรรู้ไหม? เรารอดมาได้เพราะเมืองไทย คนไทย เรายัง "ให้" กันอยู่" คำสั้น ๆ แต่มีความหมายยิ่งนัก ทุกครั้งที่มีปัญหา คนไทยจะให้กัน ช่วยกัน และเผื่อแผ่ไปยังประเทศที่ประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ ด้วย

       ขั้นตอนแรก คือ ระดมเงินได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว
       ขั้นตอนถัดไป คือ เตรียมสรรพกำลัง เครื่องมือ เครื่องไม้ต่าง ๆ และจัดเตรียมเป้าหมายการแจกจ่าย โดยเบื้องต้นมุ่งไปในเรื่องรักษาความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ด่านหน้าก่อน และมุ่งไปในพื้นที่ที่ถูกจัดอันดับความสำคัญก่อนด้วย คือ ชายแดนภาคใต้ เพราะการเคลื่อนย้ายผู้คน ควบคุมค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะเขตแดนยาว เข้าทางเครื่องบินจะคัดกรองง่ายกว่า เพราะสามารถทำที่สนามบินได้สะดวก



       วัสดุปัจจัยที่ต้องการมีตั้งแต่หน้ากาก ชุด PPE ห้องตรวจเชื้อปรับระดับความดันลบ ฯลฯ ปัญหายุ่งยาก คือ ต้องหาของที่ได้คุณภาพและคุณลักษณะตรงกับความต้องการของแต่ละภารกิจ ต้องพิถีพิถันในเรื่องนี้มาก และในยามนี้ทุกหนทุกแห่งในทุกประเทศมีความต้องการพร้อมกันหมด แหล่งผลิตก็มีน้อยแต่ก็แก้ไขไปทีละขั้นทีละตอน ผลสุดท้ายก็คลี่คลายไปได้

       นอกจากบุคลากรสาธารณสุขที่เราเน้นเป็นพิเศษแล้ว เราก็เริ่มงานเกี่ยวกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วย ทางมูลนิธิฯ มีศูนย์ฝึกอาชีพที่นครปฐม ก็เริ่มฝึกอาชีพหลากหลายผ่านการสื่อสารสนเทศ มีผู้เข้ามาติดตามด้วยความสนใจมากมาย เพราะบางคนอาจจะต้องเปลี่ยนอาชีพ การฝึกอบรมก็อาจจะให้ทางเลือกด้านใดด้านหนึ่งได้

       เรื่องใหญ่อีกเรื่องคือ เมื่อ Lockdown ธุรกิจต่าง ๆ หยุดลง ประชากรส่วนหนึ่งก็เดินทางกลับบ้านเป็นจำนวนมาก จุดมุ่งหมายของกองทุน คือ พยายามสร้างสิ่งสำคัญที่สุด คือแหล่งอาหารในพื้นที่ของตนเองให้ได้ มีการแจกเมล็ดพันธุ์พืชผักต่าง ๆ ซึ่งทางมูลนิธิชัยพัฒนามีศูนย์ผลิตใหญ่ที่เชียงราย คือ ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ ก็แจกจ่ายไปยังผู้ที่สนใจ ซึ่งได้การตอบรับ และร้องขอมามากมาย 



       อนึ่ง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงริเริ่มโครงการหนึ่งมาระยะหนึ่งแล้ว คือ ฝึกทหารเกณฑ์ตามค่ายทหารต่าง ๆ เรียกว่าโครงการทหารพันธุ์ดี ฝึกให้ปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงแพะ แล้วแต่จะชอบสิ่งใด
       ค่ายทหารหลายแห่งในเขตกองทัพภาคต่าง ๆ ก็เลยเป็นแหล่งผลิตอาหารโดยปริยาย ก็พระราชทานพระราโชบายให้ทหารนำออกจำหน่ายในราคาถูกเพื่อช่วยเหลือประชาชน และทำให้ทหารในโครงการได้เรียนรู้การบรรจุหีบห่อและการจำหน่ายไปพร้อมกันด้วย
       สิ่งที่ต้องพิถีพิถันอีกประการหนึ่งคือ การจัดหาสิ่งของและเวชภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน จึงต้องตรวจสอบอยู่ตลอดเวลากับฝ่ายการแพทย์ที่ทราบเรื่องดีอยู่แล้ว จะได้จัดหาของที่ต้องกับความประสงค์ของผู้ใช้ 



       อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องการขนส่ง เนื่องจากในภาวะดังกล่าวนี้ การคมนาคมขนส่งค่อนข้างลำบาก บางอย่างจึงส่งทางไปรษณีย์ และอาศัยเครือข่ายการขนส่งของสินค้าบางประการซึ่งดำเนินการอยู่แล้ว ต้องขอบคุณกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย และบริษัทกระทิงแดงที่ได้อำนวยความสะดวกในการขนส่งให้ข้าวของถึงมือผู้ใช้อย่างรวดเร็ว
       เรื่องประชาสัมพันธ์ ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะการทำงานต้องโปร่งใส ต้องรายงานให้ผู้บริจาคได้รับทราบอยู่ตลอดเวลาว่า เงินถูกใช้ไปในเรื่องอะไรบ้าง ก็อาศัยระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และเมื่อสิ้นสุดโครงการก็ต้องมีรายงานฉบับสมบูรณ์รายงานให้สาธารณชนได้รับทราบการปฏิบัติงานของมูลนิธิฯ ด้วย
       หลายคนพอได้รับทราบการจัดตั้งกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่างๆ) อดสงสัยถามมาว่า ทำไมต้องวงเล็บข้างหลังด้วย นั่นคือสายพระเนตรยาวไกลขององค์ประธานมูลนิธิฯ ที่มองอนาคตไปก่อนเลยว่าเรื่องลักษณะนี้คงจะเกิดขึ้นอีก ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งกองทุนขึ้นใหม่ เงินคงเหลือก็ใช้กองทุนนี้ปฏิบัติงานได้ทันที ทันควันเลย เหมือนกับกองทุนน้ำท่วมซึ่งตั้งรับกรณีน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 กองทุนนี้ก็ยังอยู่ เกิดเหตุเกี่ยวกับน้ำท่วมก็ใช้กองทุนนี้ออกปฏิบัติการได้เลย
       ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็ปฏิบัติตามพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้รับสั่งเกี่ยวกับมูลนิธิชัยพัฒนาที่ทรงมีพะราชดำริให้จัดตั้งขึ้นในปี 2531 ว่า


“...งานของมูลนิธิชัยพัฒนานั้นต้องทำเร็ว คิดเร็ว แก้ปัญหาเร็ว
....เรื่องเช่นนี้ไม่อาจทำได้ในระบบ ระเบียบราชการ
เนื่องจากราชการมีขั้นตอนระเบียบแบบแผนยุ่งยากพอสมควร จะไม่ทันกับเวลา
และปัญหาที่ต้องใช้ความรวดเร็ว ... มูลนิธิฯ ดำเนินการเป็นตัวอย่างก่อน
หากรัฐบาลเห็นสมควรว่ามีประโยชน์ก็นำไปทำต่อ
หรือจะนำแบบอย่างไปทดลองที่อื่นก็ได้…”


ทางมูลนิธิชัยพัฒนาได้รับพระราชกระแสที่พระราชทานไว้ตั้งแต่ปี 2539
และทุกคนปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้ในวันเสด็จขึ้นครองราชย์ว่า
"เพื่อประโยชน์สุข แห่งมหาชนชาวสยาม"


สแกน QR CODE เพื่ออ่านหนังสือ
จากพระมหากรุณาธิคุณ สู่ “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)



 สแกน QR CODE เพื่อรับชมวิดีทัศน์แนะนำ
“กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)






       “นับตั้งแต่ต้นปี 2563 มีข่าวของเจ้าโคโรนาไวรัสแพร่ระบาดในมณฑลอู่ฮั่น มณฑณหูเป่ย สาธารณะรัฐประชาชนจีน ณ ตอนนั้นหลายคนยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว อาจจะยังไม่รู้จักกับไวรัสชนิดนี้มากนัก แต่อีกเพียงไม่กี่เดือนต่อมา คนไทยและคนทั่วโลกได้ยินชื่อไวรัสโคโรนามากขึ้น ใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ จำนวนผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นโดยที่ไม่มีท่าทีจะลดลง ทำให้องค์การอนามัยโลกได้ระบุชื่ออย่างเป็นทางการของโคโรนาไวรัสว่า ‘โควิด-19’ ซึ่งมาจาก “Coronavirus disease starting in 2019” นับจากนั้นเป็นต้นมาไม่มีใครที่จะไม่รู้จักไวรัสโควิด-19 และพิษสงของเจ้าไวรัสตัวนี้”



เบื้องหลังการจัดตั้ง “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)”
       วันที่ 26 มีนาคม 2563 พอได้ยินรัฐบาลประกาศ "ภาวะฉุกเฉิน" จิตใจเกิดกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พอนึก ๆ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าใช้ชีวิตก่อนมาถวายงานพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในปี 2524 นั้น ผมดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองวางแผนเตรียมพร้อม ทำแผนเตรียมพร้อมระดับชาติ ตอนช่วงปี 2512 - 2524 ระยะนั้นประเทศเข้าสู่ภาวะสงคราม การก่อการร้ายกับคอมมิวนิสต์ แต่ตอนหลังก็ผนวกภัยธรรมชาติเข้าไปด้วยเพราะการเตรียมการเหมือนกัน และแผนดังกล่าวจะนำออกมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นในประเทศ เมื่อสิ้นสุดสงครามในปี 2524 ผมก็จบงานที่กองวางแผนเตรียมพร้อมมาทำงานเป็นเลขาธิการ กปร. (คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ)



หลักการของงานวางแผนเตรียมพร้อมมี 3 ขั้นตอน คือ
       1. ระดมสรรพกำลัง อาวุธ ยุทโธปกรณ์ คน ฯลฯ
       2. จัดระเบียบระบบข้าวของทั้งหมดและพิจารณาจัดอันดับความต้องการ
       3. การแจกจ่ายปัจจัยต่าง ๆ และก่อนอะไรทั้งสิ้นต้องตั้งศูนย์บัญชาการบริหารขึ้น ในระดับประเทศก็ต้องตั้ง War Cabinet

วันที่ 2 เมษายน 2563 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้มีรับสั่งให้จัดตั้ง “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)” ขึ้น



       ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาก็เตรียมการต่าง ๆ เพื่อให้มีความพร้อมปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตรงกับปลายสัปดาห์พอดี ก็เลยเตรียมระบบบริหารไว้ก่อน โดยมีคณะปฏิบัติการ ประกอบด้วย ผมเป็นประธาน รองเลขาธิการดูแลพื้นที่ทั้งหมดเป็นกรรมการ รวมเหรัญญิก และรองเหรัญญิก ดูแลเรื่องเงิน และทรัพย์สินต่าง ๆ

       ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์มีหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องและสาธารณชน ผู้อำนวยการสารสนเทศจัดระบบ IT จัดทำ Barcode กำกับสิ่งของทั้งหมด ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศในกรณีต้องมีภารกิจติดต่อต่างประเทศ และมีผู้อำนวยการกองกลางเป็นเลขานุการคอยประสานงาน กลั่นกรองทั้งหมด เพื่อประมวลเรื่องถวายสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์นายกกิตติมศักดิ์และองค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนาเพื่อทรงอนุมัติต่อไป

       พอองค์กรบริหารพร้อม ในวันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563 เราก็ออกสื่อให้ทราบถึงการจัดตั้งกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 เอาฤกษ์เอาชัยกันเพราะเป็นวันจักรีพอดี พอประกาศผลตอบรับจากสาธารณะก็ตอบรับกลับมาในทันทีทันใด การบริจาคเริ่มพรั่งพรูเข้ามามากมายทั้งรายใหญ่ และรายเล็ก ตลอดจนกลุ่มเด็กนักเรียนหลายโรงเรียน น่ารักมาก ทุกคนมา "ให้" เพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ทำให้นึกถึงพระราชกระแสพระเจ้าอยู่หัว ร. 9 ครั้งหนึ่งว่า "ใครเขาว่าไทยจะล้มตามกฎ Domino แต่ทุกอย่างมาหยุดที่เมืองไทย เรารอดมาเพราะอะไรรู้ไหม? เรารอดมาได้เพราะเมืองไทย คนไทย เรายัง "ให้" กันอยู่" คำสั้น ๆ แต่มีความหมายยิ่งนัก ทุกครั้งที่มีปัญหา คนไทยจะให้กัน ช่วยกัน และเผื่อแผ่ไปยังประเทศที่ประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ ด้วย

       ขั้นตอนแรก คือ ระดมเงินได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว
       ขั้นตอนถัดไป คือ เตรียมสรรพกำลัง เครื่องมือ เครื่องไม้ต่าง ๆ และจัดเตรียมเป้าหมายการแจกจ่าย โดยเบื้องต้นมุ่งไปในเรื่องรักษาความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ด่านหน้าก่อน และมุ่งไปในพื้นที่ที่ถูกจัดอันดับความสำคัญก่อนด้วย คือ ชายแดนภาคใต้ เพราะการเคลื่อนย้ายผู้คน ควบคุมค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะเขตแดนยาว เข้าทางเครื่องบินจะคัดกรองง่ายกว่า เพราะสามารถทำที่สนามบินได้สะดวก



       วัสดุปัจจัยที่ต้องการมีตั้งแต่หน้ากาก ชุด PPE ห้องตรวจเชื้อปรับระดับความดันลบ ฯลฯ ปัญหายุ่งยาก คือ ต้องหาของที่ได้คุณภาพและคุณลักษณะตรงกับความต้องการของแต่ละภารกิจ ต้องพิถีพิถันในเรื่องนี้มาก และในยามนี้ทุกหนทุกแห่งในทุกประเทศมีความต้องการพร้อมกันหมด แหล่งผลิตก็มีน้อยแต่ก็แก้ไขไปทีละขั้นทีละตอน ผลสุดท้ายก็คลี่คลายไปได้

       นอกจากบุคลากรสาธารณสุขที่เราเน้นเป็นพิเศษแล้ว เราก็เริ่มงานเกี่ยวกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วย ทางมูลนิธิฯ มีศูนย์ฝึกอาชีพที่นครปฐม ก็เริ่มฝึกอาชีพหลากหลายผ่านการสื่อสารสนเทศ มีผู้เข้ามาติดตามด้วยความสนใจมากมาย เพราะบางคนอาจจะต้องเปลี่ยนอาชีพ การฝึกอบรมก็อาจจะให้ทางเลือกด้านใดด้านหนึ่งได้

       เรื่องใหญ่อีกเรื่องคือ เมื่อ Lockdown ธุรกิจต่าง ๆ หยุดลง ประชากรส่วนหนึ่งก็เดินทางกลับบ้านเป็นจำนวนมาก จุดมุ่งหมายของกองทุน คือ พยายามสร้างสิ่งสำคัญที่สุด คือแหล่งอาหารในพื้นที่ของตนเองให้ได้ มีการแจกเมล็ดพันธุ์พืชผักต่าง ๆ ซึ่งทางมูลนิธิชัยพัฒนามีศูนย์ผลิตใหญ่ที่เชียงราย คือ ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ ก็แจกจ่ายไปยังผู้ที่สนใจ ซึ่งได้การตอบรับ และร้องขอมามากมาย 



       อนึ่ง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงริเริ่มโครงการหนึ่งมาระยะหนึ่งแล้ว คือ ฝึกทหารเกณฑ์ตามค่ายทหารต่าง ๆ เรียกว่าโครงการทหารพันธุ์ดี ฝึกให้ปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงแพะ แล้วแต่จะชอบสิ่งใด
       ค่ายทหารหลายแห่งในเขตกองทัพภาคต่าง ๆ ก็เลยเป็นแหล่งผลิตอาหารโดยปริยาย ก็พระราชทานพระราโชบายให้ทหารนำออกจำหน่ายในราคาถูกเพื่อช่วยเหลือประชาชน และทำให้ทหารในโครงการได้เรียนรู้การบรรจุหีบห่อและการจำหน่ายไปพร้อมกันด้วย
       สิ่งที่ต้องพิถีพิถันอีกประการหนึ่งคือ การจัดหาสิ่งของและเวชภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน จึงต้องตรวจสอบอยู่ตลอดเวลากับฝ่ายการแพทย์ที่ทราบเรื่องดีอยู่แล้ว จะได้จัดหาของที่ต้องกับความประสงค์ของผู้ใช้ 



       อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องการขนส่ง เนื่องจากในภาวะดังกล่าวนี้ การคมนาคมขนส่งค่อนข้างลำบาก บางอย่างจึงส่งทางไปรษณีย์ และอาศัยเครือข่ายการขนส่งของสินค้าบางประการซึ่งดำเนินการอยู่แล้ว ต้องขอบคุณกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย และบริษัทกระทิงแดงที่ได้อำนวยความสะดวกในการขนส่งให้ข้าวของถึงมือผู้ใช้อย่างรวดเร็ว
       เรื่องประชาสัมพันธ์ ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะการทำงานต้องโปร่งใส ต้องรายงานให้ผู้บริจาคได้รับทราบอยู่ตลอดเวลาว่า เงินถูกใช้ไปในเรื่องอะไรบ้าง ก็อาศัยระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และเมื่อสิ้นสุดโครงการก็ต้องมีรายงานฉบับสมบูรณ์รายงานให้สาธารณชนได้รับทราบการปฏิบัติงานของมูลนิธิฯ ด้วย
       หลายคนพอได้รับทราบการจัดตั้งกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่างๆ) อดสงสัยถามมาว่า ทำไมต้องวงเล็บข้างหลังด้วย นั่นคือสายพระเนตรยาวไกลขององค์ประธานมูลนิธิฯ ที่มองอนาคตไปก่อนเลยว่าเรื่องลักษณะนี้คงจะเกิดขึ้นอีก ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งกองทุนขึ้นใหม่ เงินคงเหลือก็ใช้กองทุนนี้ปฏิบัติงานได้ทันที ทันควันเลย เหมือนกับกองทุนน้ำท่วมซึ่งตั้งรับกรณีน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 กองทุนนี้ก็ยังอยู่ เกิดเหตุเกี่ยวกับน้ำท่วมก็ใช้กองทุนนี้ออกปฏิบัติการได้เลย
       ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็ปฏิบัติตามพระราชกระแสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้รับสั่งเกี่ยวกับมูลนิธิชัยพัฒนาที่ทรงมีพะราชดำริให้จัดตั้งขึ้นในปี 2531 ว่า


“...งานของมูลนิธิชัยพัฒนานั้นต้องทำเร็ว คิดเร็ว แก้ปัญหาเร็ว
....เรื่องเช่นนี้ไม่อาจทำได้ในระบบ ระเบียบราชการ
เนื่องจากราชการมีขั้นตอนระเบียบแบบแผนยุ่งยากพอสมควร จะไม่ทันกับเวลา
และปัญหาที่ต้องใช้ความรวดเร็ว ... มูลนิธิฯ ดำเนินการเป็นตัวอย่างก่อน
หากรัฐบาลเห็นสมควรว่ามีประโยชน์ก็นำไปทำต่อ
หรือจะนำแบบอย่างไปทดลองที่อื่นก็ได้…”


ทางมูลนิธิชัยพัฒนาได้รับพระราชกระแสที่พระราชทานไว้ตั้งแต่ปี 2539
และทุกคนปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้ในวันเสด็จขึ้นครองราชย์ว่า
"เพื่อประโยชน์สุข แห่งมหาชนชาวสยาม"


สแกน QR CODE เพื่ออ่านหนังสือ
จากพระมหากรุณาธิคุณ สู่ “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)



 สแกน QR CODE เพื่อรับชมวิดีทัศน์แนะนำ
“กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 (และโรคระบาดต่าง ๆ)