การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ในพระบาทสมเด็จมพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
“หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น
ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้”
ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่มีความสำคัญควบคู่กับการพัฒนา ความเจริญก้าวหน้า ซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศ ถ้าการพัฒนายิ่งรุดหน้า ปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ภาวะมลพิษจะยิ่งก่อตัว ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าว
“… ธรรมชาติแวดล้อมของเรา ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดิน ป่าไม้ แม่น้ำ ทะเล และอากาศ
มิได้เป็นเพียงสิ่งสวย ๆ งาม ๆ เท่านั้น หากแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของเรา
และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของเราไว้ให้ดีนี้ ก็เท่ากับเป็นการปกปักรักษาอนาคตไว้ให้ลูกหลานของเราด้วย …”
(พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระราชทานในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2621)
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสอนให้เราดำรงชีวิตอยู่อย่างยั่งยืนบนแผ่นดินไทย และปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำรงอยู่ก็คือ น้ำ งานของในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงเริ่มต้นจากบนท้องฟ้า ผ่านภูเขาลงที่ราบออกสู่ทะเล ขณะที่เราทุกคนเห็นเป็นก้อนเมฆ พระองค์ทรงเห็นเป็นน้ำ และทรงค้นคว้าหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้ก้อนเมฆกลายเป็นหยดน้ำ จนเกิดเป็น “ฝนหลวง”
โครงการฝนหลวง
ได้เกิดขึ้นเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงสังเกตว่ามีเมฆปริมาณมากแต่ไม่สามารถรวมตัวก่อเป็นฝนได้เป็นสาเหตุของฝนทิ้งช่วงจนเกิดความแห้งแล้ง จึงได้พระราชทานแนวคิดในการทำฝนหลวง และทรงทุ่มเทใช้ เวลาถึง 14 ปี ในการค้นคว้า วิจัย และทดลอง จนเกิดความสำเร็จในปี 2512 ช่วยให้ประเทศชาติรอดพ้นวิกฤตภัยแล้งมาได้จนถึงปัจจุบัน
แนวพระราชดำริด้านป่าไม้
นอกเหนือไปจากการให้ความสำคัญของเรื่องดิน และน้ำแล้ว... ในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังทรงคำนึงถึงความเกื้อกูลกันระหว่างการพัฒนา การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดอีกด้วย พระองค์ท่านรับสั่งทำฝายชะลอน้ำ ในการสร้างอ่างเก็บน้ำ เพื่อให้น้ำถูกส่งไปยังพื้นสวน ไร่นา จนถ่ายเป็นของเสีย โดยใช้พืชชนิดฟองน้ำ ส่งผ่านป่าโกงกาง สู่วงจรที่ครบครัน ถือเป็นการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก ปล่อยพื้นที่ป่านั้นไว้ตรงนั้น ไม่ต้องไปทำอะไร ป่าจะเจริญเติบโตเป็นป่าที่สมบูรณ์เอง
ปลูกป่าในที่สูง
ใช้ไม้จำพวกที่มีเมล็ดขึ้นไปปลูกบนยอดสูง เมื่อโตแล้วออกฝักออกเมล็ดก็จะลอยตกลงมาแล้วงอกเองในที่ต่ำต่อไป เป็นการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติ
การปลูกป่าทดแทน
จะต้องทำอย่างมีแผนโดยการดำเนินการไปพร้อมกับการพัฒนาชาวเขา โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ชลประทาน และฝ่ายเกษตร ต้องร่วมมือกันวางแผนปรับปรุงต้นน้ำ และพัฒนาอาชีพได้อย่างถูกต้อง
ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
ป่า 3 อย่าง คือ
1. ป่าไม้ใช้สอย ได้แก่ ไม้โตเร็วสำหรับใช้ในครัวเรือน
2. ป่าไม้กินได้ คือ ไม้ผล
3. ป่าไม้เศรษฐกิจ คือ ไม้ที่ปลูกไว้ขาย
ป่าไม้เหล่านี้นอกจากเป็นการเกื้อกูลกันแล้ว ป่าไม้ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม จะอำนวยประโยชน์แก่การอนุรักษ์ดิน และน้ำ เพื่อคงความชุ่มชื้นเอาไว้ เป็นการอำนวยประโยชน์อย่างที่ 4 ซึ่งเป็นผลพลอยที่ตามมาอีกด้วย
ป่าเปียก
ทฤษฎีการฟื้นฟูป่าไม้โดยสร้างแนวส่งน้ำ หรือแนวพืชอุ้มน้ำ เพื่อให้ดินเกิดความชุ่มชื้นให้ป่าเขียวสดจึงช่วยลดปัญหาไฟป่า
ภูเขาป่า
ทฤษฎีการฟื้นฟูป่าโดยการส่งน้ำขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุด และกระจายน้ำให้หล่อเลี้ยงกล้าไม้อ่อนที่ปลูกทดแทนไว้ให้เติบโตเป็นภูเขาป่าที่สมบูรณ์
“...บางครั้งป่าไม้ก็เจริญเติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ
ขอเพียงอย่าเข้าไปรบกวน และทำลายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
หากปล่อยไว้ตามสภาพธรรมชาติชั่วระยะเวลาหนึ่งป่าไม้ก็จะขึ้นสมบูรณ์เอง...”
(พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร)
ฝาย
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริในปี พ.ศ.2521 โดยสร้างฝายจากวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น เช่น หิน กรวด ไม้ไผ่ ขวางกั้นลำธาร หรือทางเดินของน้ำที่เป็นต้นน้ำ ที่มีความลาดชันสูง จะช่วยชะลอการไหลของน้ำให้ช้าลง เป็นหนทางแห่งการฟื้นฟูป่า หยุดไฟป่าสร้างความสมดุลให้ระบบนิเวศ เป็นแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภค บริโภค รวมถึงการเกษตร ถือเป็นวิธีที่ดี ง่าย และเหมาะสม ในการดูแลฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ
เขื่อน
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยในการชลประทาน หรือการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นอย่างมาก เพราะทรงตระหนักดีว่า “น้ำคือชีวิต” การสร้างเขื่อนในพื้นที่ที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ยังอำนวยประโยชน์ต่อพื้นที่เพาะปลูก และสามารถบรรเทาอุทกภัยหรือปัญหาน้ำท่วมได้อีกด้วย
อ่างเก็บน้ำ
เป็นแหล่งน้ำผิวดินประเภทหนึ่ง ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานพระราชดำริเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในท้องถิ่นทุรกันดารและแห้งแล้ง ให้ราษฎรได้มีน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค และเพื่อใช้ในการเกษตร ซึ่งอ่างเก็บน้ำสามารถเก็บรักษาน้ำที่มีตามธรรมชาติในฤดูฝนไว้ให้เพียงพอใช้ได้ตลอดทั้งปีอีกด้วย
หญ้าแฝก
ในปี 2534 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริเป็นครั้งแรกให้หน่วยงานต่าง ๆ ทำการศึกษา เพื่อทดลอง และดำเนินการปลูกหญ้าแฝก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การอนุรักษ์ดิน และน้ำ เพราะมีรากที่หยั่งลึกแผ่กระจายลงไปตรง ๆ ทำให้อุ้มน้ำ ยึดเหนี่ยวดินได้ดี ลดการพังทลายของดิน อีกทั้งมีลำต้นชิดติดกันแน่นหนา จึงช่วยดักตะกอนดิน และรักษาหน้าดินได้เป็นอย่างดี
โครงการแก้มลิง..ในพระราชดำริ
“ลิง โดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงจะรีบปอกแล้วเอาไปเก็บไว้ที่กระพุ้งแก้มได้เกือบทั้งหวี
แล้วจึงนำมาเคี้ยวบริโภคและกลืนกินเข้าไปภายหลัง”
แนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตระหนักถึงความรุนแรงของน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ.2538 โดยให้จัดหาสถานที่เก็บกักน้ำตามจุดต่าง ๆ เพื่อรองรับน้ำฝนไว้ชั่วคราว เมื่อถึงเวลาที่คลองพอจะระบายน้ำได้จึงค่อยระบายน้ำจากส่วนที่กักเก็บไว้ออกไป จึงสามารถช่วยลดปัญหาน้ำท่วม โดยทรงได้แนวคิดจากการที่ลิงอมกล้วยไว้ในกระพุ้งแก้มคราวละมาก ๆ จากนั้นจะค่อย ๆ นำออกมาเคี้ยวและกลืนกินภายหลัง เปรียบเสมือนกับเมื่อเกิดน้ำท่วมก็ให้ขุดคลองต่าง ๆ เพื่อชักน้ำให้มารวมกัน แล้วนำมาเก็บไว้เป็นบ่อพักน้ำ อันเปรียบเหมือนกับแก้มลิง แล้วระบายลงทะเลเมื่อปริมาณน้ำทะเลลดลง
กังหันน้ำชัยพัฒนา
สิ่งประดิษฐ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อบำบัดน้ำเสียด้วยการเติมออกซิเจนลงไปในน้ำ สามารถแก้ไขความเสื่อมโทรมของสภาพน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับการจดสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย และครั้งแรกของโลก ปัจจุบันกังหันน้ำชัยพัฒนาได้มีการติดตั้งไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ได้มีการขอนำไปใช้งานในประเทศเบลเยียม อินเดีย และอังกฤษอีกด้วย
น้ำดีไล่น้ำเสีย
แนวพระราชดำริในการใช้น้ำคุณภาพดีมาช่วยบรรเทาน้ำเน่าเสีย โดยให้น้ำดีผลักดันน้ำเน่าเสียออกไป และช่วยให้น้ำเน่าเสียมีสภาพเจือจางลง โดยใช้หลักการตามธรรมชาติแห่งแรงโน้มถ่วงโลก (Gravity Flow) ควบคู่กับการบริหารจัดการ ทั้งนี้โดยรับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาหรือจากแหล่งน้ำภายนอกส่งไปตามคลองต่าง ๆ ซึ่งกระแสน้ำจะไหลแผ่กระจายขยายไปตามคลองซอยที่เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้านหนึ่ง เมื่อน้ำสามารถไหลเวียนไปตามลำคลองได้ตลอด ย่อมสามารถเจือจางน้ำเน่าเสีย และชักพาสิ่งโสโครกออกไปได้ นี่จึงเป็นวิธีการช่วยบรรเทาน้ำเน่าเสียในคลองต่าง ๆ ช่วงฤดูแล้งได้เป็นอย่างดี
การแกล้งดิน
“ที่ที่น้ำท่วมนี่หาประโยชน์ไม่ได้ ถ้าเราจะทำให้มันโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
มีการระบายน้ำออกไปก็จะเกิดประโยชน์กับประชาชน ในเรื่องการทำมาหากินอย่างมหาศาล”
แนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้พระราชทานในปี 2527 ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยว ดินเป็นกรด อันเกิดจากการตกตะกอนของน้ำทะเล ตะกอนน้ำกร่อย ที่มีสารประกอบของกำมะถัน จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดกำมะถันตามกระบวนการธรรมชาติจะสะสมในชั้นหน้าดิน โดยดินที่มีความเป็นกรดสูง ความอุดมสมบูรณ์จะต่ำ ขาดธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างรุนแรง โดยวิธีการแก้ไขคือให้ขังน้ำไว้ในพื้นที่ที่มีปัญหาจนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาเคมี ทำให้ดินเปรี้ยวจัดจนถึงที่สุด จึงระบายน้ำออก และปรับสภาพฟื้นฟูดินด้วยปูนขาว จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้
“...อันนี้สิเป็นชัยชนะที่ดีใจมากที่ใช้งานได้ แล้วชาวบ้านเขาก็ดีขึ้น
แต่ก่อนชาวบ้านเขาต้องซื้อข้าวกิน เดี๋ยวนี้เขามีข้าวอาจจะขายได้...”
(พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
จากบทสัมภาษณ์ว่าที่ ร.ท.ดิลก ศิริวัลลภ ล่ามภาษายาวีประจำพระองค์)
ทฤษฎีใหม่
การทำการเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็ก ประมาณ 15 ไร่ ด้วยการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย นาข้าว 30% สระน้ำ 30% พืชไร่ พืชสวน 30% อีก 10% สำหรับสร้างบ้าน เลี้ยงสัตว์ หากดำเนินการดังนี้ เกษตรกรจะสามารถเลี้ยงตัวเองได้ และมีน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูกตลอดทั้งปี โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงศึกษาและทดลองเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ ณ โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสระบุรี ซึ่งถือเป็นสถานที่เรียนรู้ด้าน “ทฤษฎีใหม่” แห่งแรกของประเทศไทยด้วย
แหลมผักเบี้ย
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับน้ำเสียและขยะมูลฝอยในชุมชน ซึ่งมีผลต่อการรักษาสภาพป่าชายเลนด้วยวิธีการใช้ธรรมชาติรักษาธรรมชาติ จึงก่อเกิดเป็นโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี ในปี 2534
โดยได้ศึกษาทดลองการแก้ไขปัญหาด้วย 4 ระบบ คือ
- ระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย
- ระบบพืช และหญ้ากรองน้ำเสีย
- ระบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียม
- ระบบแปลงพืชป่าชายเลน
ทั้งหมดล้วนเป็นการแก้ไขปัญหาด้วย “วิธีธรรมชาติช่วยธรรมชาติ” สร้างสมดุลให้เกิดแก่ระบบนิเวศ มีการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ป่าชายเลน สัตว์น้ำ และนกนานาชนิด
ป่าชายเลน
“ป่าชายเลน” มีความสำคัญต่อระบบนิเวศบริเวณชายฝั่ง ซึ่งถือเป็นถิ่นกำเนิด และเป็นที่เจริญเติบโตของพันธุ์พืช รวมถึงสัตว์น้ำนานาชนิด แต่ที่ผ่านมาป่าชายเลนได้ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระราชดำริให้หาวิธีอนุรักษ์ และขยายพันธุ์โดยเฉพาะต้นโกงกางเพื่อเพิ่มปริมาณพื้นที่ป่าชายเลนให้มากขึ้น ปัจจุบันหลายหน่วยงานได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างพื้นที่ป่าชายเลนให้มีความอุดมสมบูรณ์ตามแนวพระราชดำริเพื่อก่อให้เกิดความสมดุลแห่งธรรมชาติอย่างยั่งยืนสืบไป
วิดิทัศน์ "จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที" :